You are using an outdated browser. For a faster, safer browsing experience, upgrade for free today.

เคยสงสัยไหม ว่าทำไมในสัญญาหรือภาษากฎหมายต้องใช้ “shall”

เคยสงสัยไหม ว่าทำไมในสัญญาหรือภาษากฎหมายต้องใช้ “shall”

ถ้าพูดถึง shall หลายคนคงนึกถึงกาลอนาคต (Future Tense) ใช่ไหมคะ? ครูภาษาอังกฤษที่แอดมินเคารพท่านหนึ่งเคยบอกว่า shall โบราณมากกกก (ฮา) เราจึงไม่ค่อยเห็นคำนี้ในภาษาอังกฤษยุคใหม่สักเท่าไหร่

แต่ถ้าคุณเป็นสายกฎหมาย... รับรองว่าเจอคำนี้แน่นอน! ไม่ว่าจะเป็น สัญญา, เอกสารทางกฎหมาย หรือแม้แต่ตัวบทกฎหมายภาษาอังกฤษ ก็มักจะใช้ shall กันอย่างแพร่หลาย บางครั้งอาจมี mustโผล่มาให้เห็นบ้าง แล้วแบบนี้เราควรแปลหรือใช้ยังไงให้ถูกต้องกันแน่?

วันนี้ WPK จะพาทุกคนไปรู้จัก shall ในบริบทของสัญญาและเอกสารทางกฎหมายแบบเข้าใจง่ายสุด ๆ กันค่ะ!

          Shall คืออะไรในทางกฎหมาย?

               ในโลกของกฎหมาย shallถูกใช้เพื่อกำหนดหน้าที่หรือข้อบังคับของคู่สัญญา โดยไม่ขึ้นอยู่กับประธานของประโยค กล่าวคือ ไม่คำนึงว่าประธาน (Subject) หรือคำนาม (Noun) ของประโยคจะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม และไม่ได้แปลว่า "จะ" อย่างเดียว แต่จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีความหมายที่เป็นอนาคตเชิงบังคับ (Obligatory Future)คล้ายๆ กับ “must” นั่นเองค่ะ 

            แล้วทำไมไม่ใช้คำว่า “must” ไปให้หมดเลย เข้าใจง่ายกว่าอีก

          จริงอยู่ที่ must ก็แปลว่า "ต้อง" และสื่อความหมายในเชิงบังคับ แต่…

✅ must มีลักษณะเชิงบังคับเด็ดขาด นิยมใช้กับข้อกำหนดที่เป็นกฎหมายอยู่แล้ว เช่น “ทุกคนต้องเสียภาษี” เพราะเป็นหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้แต่แรก 

✅ shall ใช้สำหรับข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับสิ่งที่ จะต้องทำในอนาคต กล่าวคือ ไวยากรณ์ของ shall เป็นกาลอนาคต เมื่อการทำสัญญานั้นเป็นการกำหนดเงื่อนไขและหน้าที่ที่คู่สัญญาจะต้องทำให้แก่กันในอนาคต ใช้คำว่า Shall ก็จะเหมาะกว่าในแง่นี้นั่นเองค่ะ

            แล้วทำไมต้องใช้ shall ในสัญญา?

  1. ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) ใช้ shall เพื่อระบุข้อบังคับที่คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตามโดยเป็นการใช้แบบ "an imperative command"  คือ "ความจำเป็นที่จะต้องทำ" ก็คือเป็นข้อบังคับที่จะต้องปฏิบัติ/เป็นกฎหมาย 

 

  1. สะท้อนลักษณะของสัญญา
  2. ให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรมากกว่า
  • สัญญาคือข้อตกลงเกี่ยวกับอนาคต shall จึงเหมาะสม เพราะเป็นกาลอนาคตที่สื่อถึงข้อผูกพันของคู่สัญญา กล่าวคือ shall มีความหมายในแง่การปฏิบัติตามสัญญาว่าหมายถึงสิ่งที่คู่สัญญายังไม่ได้ทำให้แล้วเสร็จหรือลุล่วง (Executory Contract) 
    • Tips: ถ้าทำเสร็จแล้วก็จะไม่จำเป็นต้องใช้  shall อีกต่อไป เพราะว่าทำเสร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว (Executed Contract) ก็กลับมาใช้ไวยากรณ์กาลปัจจุบันที่สื่อว่าการกระทำสิ่งนั้นๆ ได้จบลงและเสร็จแล้วแทน กล่าวคือ ใช้ Present Perfect แทนนั่นเอง
  • shall มีความยืดหยุ่นและสื่อถึงข้อตกลงร่วมกันได้มากกว่า
  • คำว่า must มีลักษณะเป็นคำบังคับที่เด็ดขาดมาก ทำให้ฟังดูเหมือนคำสั่งที่ไม่มีทางเลือก ส่งผลให้คู่สัญญารู้สึก อึดอัด คับข้อง หรือแม้กระทั่งหวาดกลัว เพราะมีนัยว่าพวกเขา *ต้อง* ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยไม่มีความยืดหยุ่นใด ๆ เลย ความเข้มงวดนี้อาจทำให้สัญญาดูเคร่งเครียดและตึงจนเกินไป ซึ่งขัดกับหลักบ่อเกิดของสัญญาที่เกิดจากการตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของเสรีภาพในการทำสัญญา (free will) โดยเฉพาะในบริบททางธุรกิจ ที่มักต้องอาศัยความเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นมิตร 
  • หากใช้คำว่า must มากเกินไป อาจทำให้โทนของสัญญา (Tone of Text) ดูแข็งกระด้างและเคร่งเครียดจนเกินไป ส่งผลให้คู่สัญญารู้สึกกดดันกับภาระผูกพันที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งอาจสร้างความกังวลใจต่อการทำข้อตกลง     
  • ในทางกลับกัน การใช้คำว่า shall ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและเป็นมิตรมากกว่า เนื่องจาก shall ไม่ได้มีความหมายว่า "ต้อง" (obligation) เพียงอย่างเดียวเหมือน must แต่สามารถสื่อความหมายได้กว้างกว่า เช่นอาจจะแปล must, will หรือ may ก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริบทของสัญญา 
  • นอกจากนี้ shall ยังสามารถใช้ได้ทั้งในกรณีที่กำหนดสิทธิ (right) และ หน้าที่กระทำการ (obligation) ของคู่สัญญาที่มีต่อกันในอนาคต ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกว่าสำหรับการร่างสัญญาในหลาย ๆ บริบท

            แล้ว will ใช้แทน shall ได้ไหม?

ไม่ได้ค่ะ ถึงแม้ will จะเป็นกาลอนาคตเหมือนกัน แต่ ไม่มีความหมายเชิงบังคับ แบบ shall และยังไม่เป็นทางการเท่าด้วย

แล้วในเมื่อ shall มีได้หลายความหมาย เวลาแปลสัญญาจะแปลว่าอะไรถึงจะเหมาะสมและถูกต้องที่สุด

            คำตอบก็คือ ต้องดูบริบทของข้อสัญญานั้นๆ ว่าคู่สัญญาที่เป็นประธานในประโยคนั้นกำลังมีสิทธิ (right) หรือว่า มีหนี้/หน้าที่กระทำการ/ภาระผูกพัน (obligations) ตามสัญญา นั่นเองค่ะ

  • ถ้าคู่สัญญากำลังมีสิทธิ (right) ตามสัญญา ให้แปลว่า “จะต้อง” เพื่อให้มีลักษณะบังคับและสื่อถึงข้อผูกพัน เช่น 

In the event that the design, plan, and details of the fitting-out and decoration submitted by the Lessee are approved by the Lessor but do not comply with the Fitting-Out Guideline, the Lessee shall make the necessary modifications to ensure compliance.

แปล ในกรณีที่การออกแบบ แบบแปลน และรายละเอียดการตกแต่งและการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นของผู้เช่าผ่านการอนุมัติจากผู้ให้เช่า แต่ไม่เป็นไปตามแนวทางการติดตั้งและตกแต่ง ผู้เช่าจะต้องดำเนินการแก้ไขที่จำเป็นให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว

  • ถ้าคู่สัญญากำลังมีหนี้/หน้าที่กระทำการ/ภาระผูกพัน (obligations) ตามสัญญา ให้แปลว่า “ให้... (กระทำการ/ดำเนินการ)” เพื่อสื่อถึงคำสั่งหรือข้อบังคับ เช่น

In the event that the Seller commits a breach of any provision of this Contract, whether material or otherwise, the Purchaser shall be entitled to terminate this Contract by providing written notice to the Seller, without prejudice to any other rights or remedies available under this Contract or applicable law.

แปล ในกรณีที่ผู้ขายละเมิดข้อกำหนดใดๆ ในสัญญาฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นสาระสำคัญของสัญญาหรือไม่ก็ตาม ให้ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาฉบับนี้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้ขาย ทั้งนี้โดยไม่กระทบต่อสิทธิหรือการเยียวยาอื่นใดที่มีอยู่ตามสัญญานี้หรือตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

            นอกจากนี้ shall ยังสามารถใช้ได้กับทุกสรรพนามอีกด้วย เป็นลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของภาษาอังกฤษทางกฎหมาย โดยที่ไม่ต้องจำกัดอยู่แค่ที่ “I” หรือ “We” ตามหลักไวยากรณ์ปกติ

💡 สรุปสั้น ๆ

  • Shallภาระผูกพันในอนาคต (Obligation) ใช้บังคับในสัญญา
  • Mustข้อบังคับที่มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว
  • Willอนาคตธรรมดา ไม่มีความบังคับ

 

📌 แต่จะใช้หรือแปล shall ให้ถูกต้องในเอกสารทางกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย!

  • ใช้ผิด อาจทำให้สัญญาหรือเอกสารมีความคลุมเครือ หรือความหมายเปลี่ยนไป
  • แปลผิด อาจทำให้สิทธิและภาระผูกพันของคู่สัญญาเพี้ยนได้

💼 ให้ WPK ดูแลแทนคุณ!

เรามีบริการ ร่าง, ตรวจสอบ และแปลเอกสารทางกฎหมาย ทั้งไทย-อังกฤษ โดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจโครงสร้างทางกฎหมายและภาษาเฉพาะของเอกสารสำคัญ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าสัญญาของคุณชัดเจน ถูกต้อง และเป็นมืออาชีพ ที่สำคัญ ราคาเป็นมิตรมากๆ ค่ะ!

 

✨ สนใจบริการ? ติดต่อเราได้เลยค่ะ! ✨

ขั้นตอนการขอรับบริการ

  1. ติดต่อมาตามช่องทางใดก็ได้ทางด้านล่างได้เลยนะคะ แอดมินจะทำการตอบกลับโดยเร็วที่สุดค่ะ
  2. ทาง WPK เราจะประเมินราคาและระยะเวลาดำเนินการตามความต้องการโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ หากต้องการเอกสารแบบด่วนพิเศษ หรือให้ออกเป็นใบเสนอราคาก็สามารถแจ้งได้เลยนะคะ
    นอกจากนี้ ทาง WPK เรายึดถือการรักษาความลับของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลลูกค้าไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่ลูกค้าร้องขอหรือได้รับการเรียกร้องตามกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่หากลูกค้าต้องการ ทางเราสามารถเซ็นสัญญารักษาความลับ (Non-disclosure Agreement หรือ NDA) ได้ค่ะ
  3. ชำระค่าบริการรับรองเอกสาร
  4. ส่งเอกสารมาที่ WPK (ถ้ามี)
  5. ทาง WPK ดำเนินการรับรองเอกสารโดยโนตารี
  6. ส่งเอกสารให้ลูกค้า ภายในระยะเวลาและช่องทางตามที่ลูกค้าแจ้ง

เพราะเราเชื่อว่า เอกสารที่ดีและการดูแลอย่างมืออาชีพ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของคุณ